วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นมอัดเม็ดจิตรลดา จากปัญหานมล้นตลาด สู่ของฝากยอดนิยม





ก่อนหน้านี้สัก 5-6 ปี หลายคนคงยังสามารถหาซื้อ “นมอัดเม็ดสวนดุสิต” หรือที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า “นมอัดเม็ดจิตรลดา” ตามร้านค้าต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ในราคาที่ย่อมเยา และรสชาติอร่อย อมและเคี้ยวเพลินๆ แถมยังได้ประโยชน์จากนมวัวที่มีโปรตีนสูงอีกด้วย

แต่ในช่วงระยะหลังๆ มานี้ นมอัดเม็ดจิตรลดาแสนอร่อยกลับหายไปจากท้องตลาดอย่างมาก เหตุเพราะนมอัดเม็ดจิตรลดาเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติมากมาย ทั้งจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และอื่นๆ จนกลายเป็นหนึ่งในของฝากที่ต้องซื้อจากประเทศไทยไปโดยปริยาย

แม้ว่าเราจะหาซื้อทานกันเองได้ยากขึ้น แต่เห็นแบบนี้แล้วก็น่าภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย เพราะผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ให้กับคนไทย มีต้นกำเนิดมาจากปัญหานมล้นตลาด และคนไทยโชคดีที่ได้พระอัจฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส จนวันนี้นมอัดเม็ดจิตรลดา เป็นทั้งสินค้าเศรษฐกิจที่สำคัญ และส่งเสริมให้คนไทยมีอาหารที่มีประโยชน์ได้ทานกันในราคาที่เข้าถึงได้ทุกครัวเรือนอีกด้วย


นมอัดเม็ดจิตรลดา จากปัญหานมล้นตลาด สู่ของฝากยอดนิยม

ในปี 2503 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศเดนมาร์ก และทรงศึกษาการทำฟาร์มโคนมเพื่อเป็นอาชีพใหม่แก่เกษตรกรไทย

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พื้นที่ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา จัดตั้งเป็นโครงการส่วนพระองค์ พระราชทานโรงโคนมสวนจิตรลดาในปี 2505 เพื่อเลี้ยงโคนมเพื่อศึกษา ทดลอง วิจัย และพัฒนาเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นแนวทางในการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ และอาชีพที่เลี้ยงดูชีวิต และปากท้องของพสกนิกรชาวไทย ให้ได้อยู่ดีมีสุข สุขภาพแข็งแรง ตามแบบฉบับเศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อเหล่าเกษตรกรโคนมในประเทศไทย ประสบปัญหาภาวะนมสดล้นตลาด 2512 พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ศึกษาค้นคว้าหาความเป็นไปได้ที่จะแปรรูปน้ำนมดิบเป็นนมผง เพื่อให้เก็บไว้ได้นาน โรงนมผงสวนดุสิต นอกนี้ยังทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งศูนย์รวมนมเปิดรับซื้อนมสดจากเกษตรกร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และนำนมสดเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการผลิต และจัดจำหน่ายในราคาย่อมเยา เพื่อให้ประชาชนได้ดื่มนมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้มากขึ้น

ในปี 2527 จึงได้เริ่มมีการผลิตนมอัดเม็ด เพื่อต่อยอดจากผลิตภัณฑ์นมผง เป็นการแปรรูปจากผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ เพิ่มเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชนชาวไทยได้บริโภคอาหารดีมีประโยชน์ ในราคาที่ย่อมเยาเหมือนเดิม




กว่าจะมาเป็น นมอัดเม็ดจิตรลดา

ในแต่ละวัน โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ที่มีโรงโคนม และโรงผลิตนมผง พร้อมด้วยพนักงานหลายชีวิต จะต้องผลิตนมอัดเม็ดจิตรลดาให้ได้มากถึง 55,000 ซองต่อ 1 วัน จากนมผงกว่า 10,000 กิโลกรัม นมผงที่เกาะกันเป็นก้อน จะต้องผ่านการบวนการแร่งนม (ทำให้ส่วนผสมลักษณะผง ขึ้นเป็นเม็ดเล็กๆ เพื่อให้มีการไหลดียิ่งขึ้น มีความหนาแน่นมากยิ่งขึ้น และเพื่อคัดแยกขนาดนมผง) ส่งต่อเข้าเครื่องผสมนม แล้วจึงเติมส่วนผสมต่างๆ หลังจากนั้นจึงทำการตอกเม็ด คัดแยกเม็ดที่แตก หรือหักออก ก่อนจะผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ นำลงบรรจุในซองผลิตภัณฑ์ และจัดส่งให้กับร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศ



นมอัดเม็ดจิตรลดา เป็นมิตรกับคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม

นมเม็ดที่แตกไม่เข้ารูป จะถูกนำไปผลิตเป็นนมอัดเม็ดสำหรับสัตว์เลี้ยง ส่วนน้ำจากการระเหยระหว่างกระบวนการผลิตนมอัดเม็ด มีความบริสุทธิ๋สูง สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำกลั่นสำหรับเติมแบตเตอรี่รถยนต์ และกลายมาเป็นน้ำดื่มต่อได้ จึงทำให้โรงงานนมอัดเม็ดจิตรลดามีกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพสูงสุดในทุกขั้นตอน

นอกจากนี้โคนมที่เลี้ยงเอาไว้ในโครงการ จะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีตลอดชีวิต หลังจากรีดนมวัวเพื่อการผลิตนมถึง 15 ปี แม่วัวจะถูกปลดจากโรงโคนม แล้วนำไปเลี้ยงดูต่อที่โครงการชั่งหัวมัน จังหวัดเพชรบุรีต่อไป

ทุกขั้นตอนในการผลิตล้วนแล้วแต่ละเอียดอ่อน และเต็มไปด้วยความใส่ใจ พนักงานจะได้รับการย้ำเตือนว่า สิ่งที่ทำอยู่ เป็นหนึ่งในโครงการส่วนพระองค์ ที่มุ่งเน้นความสำคัญไปที่ประชาชนที่จะได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และยังสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนไทย ทั้งในโรงงาน และผู้ที่นำไปจำหน่ายในร้านค้าอีกด้วย

                                          

ประโยชน์ของนมอัดเม็ด

นมอัดเม็ด ทำให้ได้รับประโยชน์ และรสชาติไม่ต่างจากนมสด โปรตีนจากนมวัวที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ และส่วนที่สึกหรอ มีแคลเซียม และวิตามินต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และเสริมสร้างกระดูกของคนทุกเพศทุกวัย

นอกจากนี้ยังมีรสชาติดี รูปร่างคล้ายขนม จึงเป็นที่นิยมของเหล่าเด็กๆ สามารถหยิบออกมาทานได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา (หลังทานนมอัดเม็ดควรดื่มน้ำตาม เพื่อช่วยละลายความเข้มข้นของนมในกระเพาะอาหารด้วย)



ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ จึงทำให้นมอัดเม็ดจิตรลดา จากโครงการส่วนพระองค์ เป็นที่นิยมทั้งในคนไทย และชาวต่างชาติ มาเป็นเวลากว่า 30 ปี

“ข้าวกล้อง” อาหารคนจน ที่พระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงโปรดเสวยที่สุด



เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2541 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เคยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับข้าวกล้องไว้ว่า ดีต่อสุขภาพ ซึ่งท่านทรงเสวยข้าวกล้องเป็นพระกระยาหารหลัก

โดยพระองค์ตรัสว่า "ข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้อง เรากินทุกวัน เพราะว่ามีประโยชน์ ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวนี้เอาของดีออกไปหมด ข้าวกล้องนี้ดี คนบอกว่ากินข้าวกล้องต้องเป็นคนจน เราก็เป็นคนจน" กล่าวจบก็ทรงแย้มพระสรวลเล็กๆ ข้าราชบริพารก็หัวเราะอารมณ์ดีตามไปด้วย

เหตุใดพระเจ้าอยู่หัวของเราถึงทรงโปรดข้าวกล้องมากขนาดนี้ เพราะข้าวกล้องมีประโยชน์นานัปการมากจริงๆ นะสิ

ประโยชน์ของข้าวกล้อง

1. แป้งในข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน สามารถย่อยได้ในเวลาช้าๆ จึงทำให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีกว่าข้าวขาว ที่ย่อยและดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเป็นอย่างยิ่ง

2. ข้าวกล้องเป็นแหล่งรวมวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาน เช่น วิตามินเอ บี 1 บี 2 อี และยังมีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลิเนียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียมอีกด้วย

3. ป้องกันโรคเหน็บชา และปากนกกระจอกได้เป็นอย่างดี

4. ลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจได้

5. ช่วยลดความดันโลหิต เหมาะสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

6. มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

7. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง

8. มีไขมันต่ำ และคอเลสเตอรอลต่ำ จึงเหมาะกับผู้ป่วยไขมันอุดตันเส้นเลือด ไขมันพอกตับ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก


เทคนิคการหุงข้าวกล้องให้อร่อย

ต้องล้างข้าวกล้องให้สะอาด ซาวน้ำเร็วๆ และแช่น้ำทิ้งไว้ 3-5 นาที จะทำให้ข้าวนิ่มขึ้น




Cr. : Sanook.com

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เปิดแลกเหรียญที่ระลึกชุด 5 เหรียญ 5 แบบ แค่ 100 บาท


ธนารักษ์ นำเหรียญชุดกษาปณ์ที่ระลึกที่ผลิตเนื่องในวาระต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดชชนิดราคา 20 บาทหมื่นชุดเปิดขาย26 ต.ค. 59

นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์เผยว่า กรมฯได้จัดทำเหรียญชุดกษาปณ์ที่ระลึกที่ผลิตเนื่องในวาระต่างๆของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดชชนิดราคา 20 บาท จำนวน 5 เหรียญ รวมราคา 100 บาทต่อชุด เพื่อออกจำหน่ายให้ประชาชนได้เก็บสะสมจำนวนประมาณ 1 หมื่นชุด โดยจะเปิดจำหน่ายตามจุดจ่ายแลกตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.เป็นต้นไป

สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่จะออกจำหน่ายดังกล่าว ประกอบด้วย เหรียญรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม เหรียญที่ระลึก 60 ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เหรียญที่ระลึกเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เหรียญที่ระลึก 50 ฝนหลวงพระราชทาน และ เหรียญที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ

เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เนื่องในโอกาสที่สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย “รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม”

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท


เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน 
เพื่อเป็นที่ระลึกถึงประวัติศาสตร์การพัฒนาพลังงานของประเทศ

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท

เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท

เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 50 ฝนหลวงพระราชทาน
เพื่อเป็นที่ระลึกและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชดำริ
ให้มีการทำฝนหลวงครั้งแรก

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท


เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท