วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นมอัดเม็ดจิตรลดา จากปัญหานมล้นตลาด สู่ของฝากยอดนิยม





ก่อนหน้านี้สัก 5-6 ปี หลายคนคงยังสามารถหาซื้อ “นมอัดเม็ดสวนดุสิต” หรือที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า “นมอัดเม็ดจิตรลดา” ตามร้านค้าต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ในราคาที่ย่อมเยา และรสชาติอร่อย อมและเคี้ยวเพลินๆ แถมยังได้ประโยชน์จากนมวัวที่มีโปรตีนสูงอีกด้วย

แต่ในช่วงระยะหลังๆ มานี้ นมอัดเม็ดจิตรลดาแสนอร่อยกลับหายไปจากท้องตลาดอย่างมาก เหตุเพราะนมอัดเม็ดจิตรลดาเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติมากมาย ทั้งจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และอื่นๆ จนกลายเป็นหนึ่งในของฝากที่ต้องซื้อจากประเทศไทยไปโดยปริยาย

แม้ว่าเราจะหาซื้อทานกันเองได้ยากขึ้น แต่เห็นแบบนี้แล้วก็น่าภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย เพราะผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ให้กับคนไทย มีต้นกำเนิดมาจากปัญหานมล้นตลาด และคนไทยโชคดีที่ได้พระอัจฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส จนวันนี้นมอัดเม็ดจิตรลดา เป็นทั้งสินค้าเศรษฐกิจที่สำคัญ และส่งเสริมให้คนไทยมีอาหารที่มีประโยชน์ได้ทานกันในราคาที่เข้าถึงได้ทุกครัวเรือนอีกด้วย


นมอัดเม็ดจิตรลดา จากปัญหานมล้นตลาด สู่ของฝากยอดนิยม

ในปี 2503 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศเดนมาร์ก และทรงศึกษาการทำฟาร์มโคนมเพื่อเป็นอาชีพใหม่แก่เกษตรกรไทย

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พื้นที่ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา จัดตั้งเป็นโครงการส่วนพระองค์ พระราชทานโรงโคนมสวนจิตรลดาในปี 2505 เพื่อเลี้ยงโคนมเพื่อศึกษา ทดลอง วิจัย และพัฒนาเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นแนวทางในการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ และอาชีพที่เลี้ยงดูชีวิต และปากท้องของพสกนิกรชาวไทย ให้ได้อยู่ดีมีสุข สุขภาพแข็งแรง ตามแบบฉบับเศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อเหล่าเกษตรกรโคนมในประเทศไทย ประสบปัญหาภาวะนมสดล้นตลาด 2512 พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ศึกษาค้นคว้าหาความเป็นไปได้ที่จะแปรรูปน้ำนมดิบเป็นนมผง เพื่อให้เก็บไว้ได้นาน โรงนมผงสวนดุสิต นอกนี้ยังทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งศูนย์รวมนมเปิดรับซื้อนมสดจากเกษตรกร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และนำนมสดเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการผลิต และจัดจำหน่ายในราคาย่อมเยา เพื่อให้ประชาชนได้ดื่มนมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้มากขึ้น

ในปี 2527 จึงได้เริ่มมีการผลิตนมอัดเม็ด เพื่อต่อยอดจากผลิตภัณฑ์นมผง เป็นการแปรรูปจากผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ เพิ่มเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชนชาวไทยได้บริโภคอาหารดีมีประโยชน์ ในราคาที่ย่อมเยาเหมือนเดิม




กว่าจะมาเป็น นมอัดเม็ดจิตรลดา

ในแต่ละวัน โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ที่มีโรงโคนม และโรงผลิตนมผง พร้อมด้วยพนักงานหลายชีวิต จะต้องผลิตนมอัดเม็ดจิตรลดาให้ได้มากถึง 55,000 ซองต่อ 1 วัน จากนมผงกว่า 10,000 กิโลกรัม นมผงที่เกาะกันเป็นก้อน จะต้องผ่านการบวนการแร่งนม (ทำให้ส่วนผสมลักษณะผง ขึ้นเป็นเม็ดเล็กๆ เพื่อให้มีการไหลดียิ่งขึ้น มีความหนาแน่นมากยิ่งขึ้น และเพื่อคัดแยกขนาดนมผง) ส่งต่อเข้าเครื่องผสมนม แล้วจึงเติมส่วนผสมต่างๆ หลังจากนั้นจึงทำการตอกเม็ด คัดแยกเม็ดที่แตก หรือหักออก ก่อนจะผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ นำลงบรรจุในซองผลิตภัณฑ์ และจัดส่งให้กับร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศ



นมอัดเม็ดจิตรลดา เป็นมิตรกับคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม

นมเม็ดที่แตกไม่เข้ารูป จะถูกนำไปผลิตเป็นนมอัดเม็ดสำหรับสัตว์เลี้ยง ส่วนน้ำจากการระเหยระหว่างกระบวนการผลิตนมอัดเม็ด มีความบริสุทธิ๋สูง สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำกลั่นสำหรับเติมแบตเตอรี่รถยนต์ และกลายมาเป็นน้ำดื่มต่อได้ จึงทำให้โรงงานนมอัดเม็ดจิตรลดามีกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพสูงสุดในทุกขั้นตอน

นอกจากนี้โคนมที่เลี้ยงเอาไว้ในโครงการ จะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีตลอดชีวิต หลังจากรีดนมวัวเพื่อการผลิตนมถึง 15 ปี แม่วัวจะถูกปลดจากโรงโคนม แล้วนำไปเลี้ยงดูต่อที่โครงการชั่งหัวมัน จังหวัดเพชรบุรีต่อไป

ทุกขั้นตอนในการผลิตล้วนแล้วแต่ละเอียดอ่อน และเต็มไปด้วยความใส่ใจ พนักงานจะได้รับการย้ำเตือนว่า สิ่งที่ทำอยู่ เป็นหนึ่งในโครงการส่วนพระองค์ ที่มุ่งเน้นความสำคัญไปที่ประชาชนที่จะได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และยังสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนไทย ทั้งในโรงงาน และผู้ที่นำไปจำหน่ายในร้านค้าอีกด้วย

                                          

ประโยชน์ของนมอัดเม็ด

นมอัดเม็ด ทำให้ได้รับประโยชน์ และรสชาติไม่ต่างจากนมสด โปรตีนจากนมวัวที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ และส่วนที่สึกหรอ มีแคลเซียม และวิตามินต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และเสริมสร้างกระดูกของคนทุกเพศทุกวัย

นอกจากนี้ยังมีรสชาติดี รูปร่างคล้ายขนม จึงเป็นที่นิยมของเหล่าเด็กๆ สามารถหยิบออกมาทานได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา (หลังทานนมอัดเม็ดควรดื่มน้ำตาม เพื่อช่วยละลายความเข้มข้นของนมในกระเพาะอาหารด้วย)



ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ จึงทำให้นมอัดเม็ดจิตรลดา จากโครงการส่วนพระองค์ เป็นที่นิยมทั้งในคนไทย และชาวต่างชาติ มาเป็นเวลากว่า 30 ปี

“ข้าวกล้อง” อาหารคนจน ที่พระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงโปรดเสวยที่สุด



เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2541 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เคยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับข้าวกล้องไว้ว่า ดีต่อสุขภาพ ซึ่งท่านทรงเสวยข้าวกล้องเป็นพระกระยาหารหลัก

โดยพระองค์ตรัสว่า "ข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้อง เรากินทุกวัน เพราะว่ามีประโยชน์ ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวนี้เอาของดีออกไปหมด ข้าวกล้องนี้ดี คนบอกว่ากินข้าวกล้องต้องเป็นคนจน เราก็เป็นคนจน" กล่าวจบก็ทรงแย้มพระสรวลเล็กๆ ข้าราชบริพารก็หัวเราะอารมณ์ดีตามไปด้วย

เหตุใดพระเจ้าอยู่หัวของเราถึงทรงโปรดข้าวกล้องมากขนาดนี้ เพราะข้าวกล้องมีประโยชน์นานัปการมากจริงๆ นะสิ

ประโยชน์ของข้าวกล้อง

1. แป้งในข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน สามารถย่อยได้ในเวลาช้าๆ จึงทำให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีกว่าข้าวขาว ที่ย่อยและดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเป็นอย่างยิ่ง

2. ข้าวกล้องเป็นแหล่งรวมวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาน เช่น วิตามินเอ บี 1 บี 2 อี และยังมีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลิเนียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียมอีกด้วย

3. ป้องกันโรคเหน็บชา และปากนกกระจอกได้เป็นอย่างดี

4. ลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจได้

5. ช่วยลดความดันโลหิต เหมาะสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

6. มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

7. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง

8. มีไขมันต่ำ และคอเลสเตอรอลต่ำ จึงเหมาะกับผู้ป่วยไขมันอุดตันเส้นเลือด ไขมันพอกตับ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก


เทคนิคการหุงข้าวกล้องให้อร่อย

ต้องล้างข้าวกล้องให้สะอาด ซาวน้ำเร็วๆ และแช่น้ำทิ้งไว้ 3-5 นาที จะทำให้ข้าวนิ่มขึ้น




Cr. : Sanook.com

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เปิดแลกเหรียญที่ระลึกชุด 5 เหรียญ 5 แบบ แค่ 100 บาท


ธนารักษ์ นำเหรียญชุดกษาปณ์ที่ระลึกที่ผลิตเนื่องในวาระต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดชชนิดราคา 20 บาทหมื่นชุดเปิดขาย26 ต.ค. 59

นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์เผยว่า กรมฯได้จัดทำเหรียญชุดกษาปณ์ที่ระลึกที่ผลิตเนื่องในวาระต่างๆของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดชชนิดราคา 20 บาท จำนวน 5 เหรียญ รวมราคา 100 บาทต่อชุด เพื่อออกจำหน่ายให้ประชาชนได้เก็บสะสมจำนวนประมาณ 1 หมื่นชุด โดยจะเปิดจำหน่ายตามจุดจ่ายแลกตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.เป็นต้นไป

สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่จะออกจำหน่ายดังกล่าว ประกอบด้วย เหรียญรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม เหรียญที่ระลึก 60 ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เหรียญที่ระลึกเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เหรียญที่ระลึก 50 ฝนหลวงพระราชทาน และ เหรียญที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ

เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เนื่องในโอกาสที่สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย “รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม”

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท


เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน 
เพื่อเป็นที่ระลึกถึงประวัติศาสตร์การพัฒนาพลังงานของประเทศ

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท

เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท

เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 50 ฝนหลวงพระราชทาน
เพื่อเป็นที่ระลึกและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชดำริ
ให้มีการทำฝนหลวงครั้งแรก

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท


เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคา 20 บาท
เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม
จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

การบำรุงรักษาโฟร์คลิฟท์


การบำรุงรักษาประจำวัน ก่อนติดเครื่อง
1. ตรวจดูความสะอาดภายนอก
2. ตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำและหม้อพักน้ำ
3. ตรวจระดับน้ำมันเครื่อง
4. ตรวจดูระดับน้ำมันเชื้อเพลิง
5. ตรวจดูระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
6. ตรวจระดับน้ำมันไฮโดรลิค
7. ตรวจระดับน้ำมันเกียร์พวงมาลัย
8. ตรวจดูระดับน้ำมันเบรค
9. ตรวจระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่
10. ตรวจความตึงของสายพานเครื่องยนต์
11. ตรวจการทำงานของเบรคมือและขาเบรค
12. ตรวจระบบสัญญาณไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง ไฟส่องสว่างและสัญญาณแตร
13. ตรวจสภาพความตึงของโซ่ยกของ
14. ตรวจสภาพยาง
15. ตรวจวัดลมยางและเติมให้ได้แรงดันตามที่กำหนดไว้
16. ตรวจรอยรั่วซึมตามจุดต่าง ๆ

หลังติดเครื่อง
1. ตรวจเช็คว่ามีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนตืหรือไม่
2. ตรวจดูไฟที่หน้าปัดดับหมดหรือไม่
3. ตรวจระยะฟรีของพวงมาลัยและการบังคับเลี้ยว
4. ตรวจการทำงานของชุดควบคุมอุปกรณ์ยกงาว่าทำงานเรียบร้อยหรือไม่

หลังการใช้งาน ขณะเครื่องยนต์ยังติดอยู่
1. จอดรถในสถานที่จอดรถกำหนดไว้
2. ลดงาของรถให้อยู่ในแนวราบกับพื้นโรงงาน
3. ล็อคเบรคมือให้เรียบร้อย
4. หล่อลื่นตามจุดต่าง ๆ ให้เรียบร้อย เช่น โซ่ยกของ ชุดแผ่นทองเหลืองหลังเสา
5. ตรวจเช็คดูการรั่วซึมจากการใช้งาน เช่น น้ำมันไฮโดรลิค น้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่อง และน้ำในหม้อน้ำ
6. ตรวจเช็คฟังเสียงว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่
7. หลังจากการใช้งาน ควรปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาในตำแหน่งเกียร์ว่างประมาณ 3 นาที จึงค่อยดับเครื่องยนต์

หลังดับเครื่องยนต์
1. เติมน้ำมันให้เต็มถังเพื่อพร้อมการใช้งานในวันต่อไป
2. ปลดเกียร์ว่างไว้เสมอ และดึงลูกกุญแจรถออกเก็บยังที่เก็บ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

การเลือกใช้พาเลทไม้กับพาเลทพลาสติก

พาเลทเป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบจัดเก็บ ยกย้ายสินค้าและวัสดุ การเลือกใช้พาเลทที่เหมาะสมจะช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันพาเลทที่ใช้ในคลังสินค้าทำจากวัสดุ 4 ชนิด ได้แก่ พาเลทที่ผลิตจากไม้ พาเลทผลิตจากพลาสติก พาเลทที่ผลิตจากกระดาษ และพาเลทที่ผลิตจากเหล็ก แต่ที่นิยมใช้กันมากคือพาเลทที่ผลิตจากไม้และที่ผลิตจากพลาสติก


พาเลทไม้ส่วนใหญ่นำไปใช้กับสินค้า และพื้นที่ใช้งานที่ไม่ชื้นหรือเปียกแฉะ ส่วนพาเลทพลาสติกนิยมใช้กับคลังสินค้าทั่วไป โดยมีข้อเปรียบเทียบอื่นๆ ที่สำคัญ ดังนี้


คลิกเพื่อขยายรูป
v
v


จะเห็นได้ว่า ทั้งพาเลทไม้และพาเลทพลาสติกต่างมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้่งานที่แตกต่างกัน ฉะนั้น ผู้ใช้งานจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อที่จะสามารถเลือกใช้งานพาเลทได้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่ามากที่สุด


วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

ทำความรู้จักโรคไวรัสซิกา รู้ไว้ไม่เสี่ยง !

กลับมาสร้างความวิตกกังวลให้กับใครต่อใครอีกระลอก เมื่อมีการแพร่ระบาดในประเทศสิงคโปร์บ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทย สำหรับโรคไวรัสซิกา (หรือที่คนไทยอ่านว่า ซิก้า หรือ Zika) เป็นโรคติดต่อที่มีอาการคล้ายหวัด ถึงแม้จะพบอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสซิกาน้อย แต่ก็เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข เพราะเป็นโรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะ และพบว่าหญิงมีครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสซิกา อาจส่งผลให้เด็กในครรภ์มีความผิดปกติได้ โรคติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika) คืออะไร?
ไวรัสซิกา เป็นไวรัสซึ่งอยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส จำพวกเดียวกับไวรัสไข้เหลือง ไวรัสเดงกี ไวรัสเวสต์ไนล์ และไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี
แหล่งระบาดของไวรัสซิกา
ก่อนหน้านี้ สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) เคยออกมาเตือนประชาชนไม่ให้เดินทางไปที่ประเทศ บราซิล โคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์ เฟรนช์เกียนา กัวเตมาลา เฮติ ฮอนดูรัส มาร์ตีนิก เม็กซิโก ปานามา ปารากวัย ซูรินาเม เวเนซุเอลา และเครือรัฐเปอร์โตริโก ปัจจุบันสถานการณ์ควบคุมได้ ไม่ระบาดหนักอย่างที่กลัวกัน แต่หากใครที่ต้องเดินทางไปที่ประเทศเหล่านี้ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสซิกาได้
นอกจากนี้ แหล่งร้อนชื้นที่มียุง เช่นประเทศไทย ก็พบผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาได้เหมือนกัน จังหวัดที่เคยพบผู้ติดเชื้อไวรัสซิกา คือ ลำพูน เพชรบูรณ์ ศรีษะเกศ ราชบุรี สมุทรสาคร กระบี่ ภูเก็ต และกรุงเทพฯ
ไวรัสซิกาติดต่อจากผู้ป่วย สู่ผู้ป่วยด้วย ยุงลาย ที่เป็นพาหะ ส่วนอาการของเชื้อไวรัสซิกานั้น มีดังนี้คือ
1. มีไข้
2. ออกผื่นตามลำตัว แขน ขา 
3. ตาแดง
4. ปวดข้อ ข้อบวม ปวดหลัง
5. อาจมีอาการอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต หรืออุจจาระร่วง
ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง อาการทุกอย่างอาจบรรเทาลงภายใน 2-7 วัน แต่หาก 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นหญิงมีครรภ์ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
ทีนี้มาดูในเรื่องความแตกต่างระหว่างโรคติดเชื้อไวรัสซิกา โรคไข้เลือดออก และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย  ต้องบอกว่า 3 โรคนี้มีอาการที่ใกล้เคียงกันมาก และมียุงลายเป็นพาหะเหมือนกัน แต่มีบางอาการที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละโรค เช่น
โรคไข้เลือดออก มักมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง และเมื่อไข้เริ่มลด อาจมีอาการรุงแรงแทรกซ้อนเฉียบพลัน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงอาการ เลือดออก” ที่เป็นจุดเริ่มต้น และหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยไข้เลือดออกเสียชีวิต
โรคไข้ปวดข้อยุงลาย นอกจากไข้สูงแล้ว อาการที่พบได้ชัดเจน คือ อาการปวดข้อรุนแรงที่มือ เท้า หัวเข่า และหลัง จนอาจไม่สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตตามปกติได้ เช่น ไม่สามารถลุกขึ้นเดินไปทำงานได้
แต่สำหรับโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ยังไม่มีลักษณะที่ชัดเจนเหมือนไข้เลือดออก และไข้ปวดข้อยุงลาย แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีผื่นที่ผิวหนัง และบางส่วนจะตาแดง เพราะเยื่อบุตาอักเสบ
ส่วนแนวทางในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสซิกา ได้แก่
1. ระวังอย่าให้ตัวเองโดนยุงกัด หากจำเป็นต้องไปในที่ยุงชุม เช่น ป่าดิบชื้น ใกล้แหล่งน้ำนิ่ง แหล่งชุมชนแออัด ขอให้ทายากันยุง นอนในมุ้ง หรือพักในห้องที่มีมุ้งลวด 
2. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายรอบที่อยู่อาศัย รวมถึงที่ทำงานและโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการเทน้ำในจานรองกระถางต้นไม้ เปลี่ยนน้ำในแจกัน คว่ำกะละมัง อ่างต่างๆ นอกบ้าน ใส่ทรายอะเบทลงในจานรองกระถางต้นไม้ต่างๆ และฉีดยาป้องกันยุงลายตามสถานที่ทำงาน และโรงเรียน
3. หญิงตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์กับสถานพยาบาล หรือโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายตามเวลาที่แพทย์กำหนด ป้องกันการเกิดความผิดปกติกับลูกน้อย
ไวรัสซิกาไม่น่ากลัว หากมีการป้องกันยุงลายที่ดีและมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นในช่วงหน้าร้อน หน้าฝนแบบนี้ หมั่นดูแลสุขภาพให้ดี และอย่าให้ตัวคุณเอง และคนที่คุณรักโดนยุงกัด
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กรมควบคุมโรคติดต่อสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, bangkokhealth.com

7 เมนูอาหารเช้าง่ายๆให้ผิวสวย


อาหารเช้าเป็นมื้ออาหารสำคัญที่ไม่ควรงดเด็ดขาด เพราะจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคต่างๆ มากมาย จะดีกว่าถ้าเราหันมาทานอาหารเช้าทุกวัน และที่สำคัญไม่ได้ดีต่อสุขภาพเราเท่านั้น แต่ยังดีต่อสุขภาพผิวด้วย

1. น้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลือง
เราควรดื่มน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองในตอนเช้า เพราะเต็มไปด้วยโปรตีน ซึ่งมีประโยชน์ต่อเส้นผมและผิวของเราอย่างมาก ทำให้ผมแข็งแรงขึ้น เป็นประกายเงางาม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเพิ่มการสร้างอีลาสตินในชั้นผิว ช่วยทำให้ผิวกระชับมากขึ้น


2.โยเกิร์ต
นอกจากโยเกิร์ตจะมีแคลอรี่น้อย เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก รักษาหุ่นแล้ว ยังเป็นอาหารที่ช่วยให้ผิวเราสวยขึ้นได้ด้วย ในโยเกิร์ตมีโปรตีน, วิตามิน, กรดแลคติค และยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 5 ที่ช่วยบำรุงเส้นผมและผิว ช่วยทำให้ผิวเราชุ่มชื้นขึ้น และยังช่วยรักษาสิวได้อีกด้วย


3. ข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยวิตามินบีรวมและสังกะสี เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการบำรุงเส้นผม และก็ยังดีต่อผิวเราด้วย ตรงที่ว่า ข้าวโอ๊ตสามารถช่วยปกป้องผิวเราจากการถูกแสงแดดทำร้ายได้


4. น้ำผึ้ง
นอกจากน้ำผึ้งจะมีรสชาติหวานอร่อยแล้ว มันยังช่วยทำให้ผิวเราสวยใสได้ด้วย เพราะว่าน้ำผึ้งมีทั้งสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวมากมาย และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวคล้ำเสียจากแสง UV ได้ด้วย


5. สมูทตี้สตรอว์เบอร์รี่กีวี่
นี่เป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่เหมาะกับการดื่มตอนเช้าๆ เพื่อสุขภาพผิวของเรา เพราะวิตามิน C จากสตรอว์เบอร์รี่จะช่วยให้ผิวเราเรียบเนียน และวิตามิน E จากกีวี่จะช่วยให้เส้นผมขึ้นได้ดี มีความนุ่มลื่นเป็นเงางามด้วย

6. ไข่
เมนูง่ายๆ อย่างไข่ เป็นอาหารอีกอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวเรามากมาย ถ้าใครอยากมีผิวสวย ลองหันมาทำอาหารเมนูไข่ก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจ เพราะว่าไข่เต็มไปด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงผิวให้สวย แต่ก็ต้องระวังเรื่องแคลอรี่จากวิธีประกอบอาหาร หลีกเลี่ยงการทอดกับน้ำมันที่จะทำให้แคลอรี่เพิ่มมากขึ้น แนะนำว่านำไปต้ม หรือตุ๋นก็จะได้รับประทานในแคลอรี่ที่น้อยลง

7. ชาเขียวร้อน
รู้ไหมว่า ชาเขียวเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ช่วยป้องกันผิวจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด และยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวเราดูกระจ่างใส เปล่งปลั่งขึ้น ส่วนใครที่มีปัญหาเรื่องผมขาดหลุดร่วง ลองดื่มชาเขียวในทุกๆ เช้าดู เพราะมีงานวิจัยออกมาพิสูจน์แล้วว่า ชาเขียวมีส่วนช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น รวมถึงบริเวณรากผมด้วย ด้วยเหตุนี้ เลยทำให้ปัญหาเรื่องผมขาดหลุดร่วงน้อยลงได้




รู้อย่างนี้ อย่าลืมทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพื่อผิวสวย และสุขภาพดีนะคะ

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ประเภทของหลอดไฟ กับแสงสีที่ได้

ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา แอดมินได้มีโอกาสไปเดินชมศูนย์การค้าจำหน่ายของตกแต่งบ้านหลายๆแห่ง โดยเน้นในการเลือกชมโคมไฟ เพื่อต้องการนำมาจัดสวนข้างบ้านตนเอง หลังจากเลือกโคมไฟได้ดั่งใจหวัง แน่นอนว่าต้องเลือกซื้อหลอดไฟแยกต่างหาก พนักงานจึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า ต้องการหลอดไฟประเภทใด จึงได้ถามกลับไปว่า มีแบบใดบ้าง จึงได้คำตอบมาว่า มีแบบ Warm White และ Daylight จึงมีคำถามขึ้นภายในใจ หากบุคคลทั่วไป ที่อาจไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาก่อนที่จะเลือกซื้อ อาจทำให้มึนงงกันได้ ว่าทั้งสองชนิดนี้ มันแตกต่างกันอย่างไร มีแค่สองแบบหรือมีแบบอื่นอีกหรือไม่ จึงเป็นที่มาของบทความเล็กๆ น้อยๆ ไว้เป็นความรู้คู่บ้านกันนะครับ


ประเภทของแสงหลอดไฟ
1. วอร์มไวท์ (Warm White) ให้โทนแสงนวลตา เป็นสีโทนอุ่น ให้ความสว่างไม่มากนัก ออกสีทองส้ม เหมาะกับการใช้เพื่อประดับตกแต่งมากกว่าเน้นการมองเห็น ประยุกต์ใช้ร่วมกับการจัดสวนได้ดี แสงวอร์มไวท์ จะสะท้อนกับวัสดุให้แสงสีทอง ทำให้บริเวณพื้นที่ดูงดงามขึ้นมาทันตาเห็น หากนำไปใช้ตกแต่งภายใน เหมาะกับแสงภายในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องที่ใช้ในการพักผ่อน ไม่เพียงแค่สร้างความอบอุ่นเท่านั้น แต่แสงชนิดวอร์มไวท์ ยังให้ความรู้สึกโรแมนติก ผ่อนคลายอีกด้วยนะ สถานที่พักต่างๆ จึงนิยมใช้หลอดไฟชนิดนี้มาตกแต่งกัน

2. เดย์ไลท์ (Day Light) โทนแสงสว่างตา เป็นโทนแสงเดียวกับแสงกลางวัน ให้แสงสว่างสูง ออกไปในโทนสีฟ้า มองเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกสดใส กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ประยุกต์ใช้กับการทำงานเป็นหลัก เช่น ห้องทำงาน ภายในออฟฟิศ สำนักงาน ห้องครัว หรือแม้แต่ห้องนอน ในมุมที่ต้องการแสงสว่างอย่างเพียงพอ อาทิเช่น มุมอ่านหนังสือ มุมทำงาน อาจเรียกได้ว่า เป็นชนิดหลอดไฟที่ได้รับความนิยมในการใช้งานมากที่สุดก็ว่าได้ เนื่องด้วยคุณสมบัติที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน สามารถนำไปใช้ได้ทุกๆงาน

3. คูลไวท์ (Cool White) โทนแสงระหว่าง วอร์มไวท์และเดย์ไลท์ เรียกได้ว่า หากใครต้องการความเป็นกลาง เลือกไม่ถูกระหว่าง 2 ตัวเลือกก่อนหน้านี้ คูลไวท์อาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบได้เป็นอย่างดี ระดับแสงคูลไวท์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้ทุกรูปแบบ ทั้งภายในและภายนอก ลดความอุ่นของแสงสีส้ม และลดความสว่างของแสงเดย์ไลท์ ทำให้เกิดความสมดุล ลักษณะเป็นแสงสีขาวนวลตา
รู้จักกันไปครบทั้ง 3 แบบแล้ว ทั้งนี้ การเลือกซื้อนำมาใช้งานจริง ก็ไม่ได้มีทฤษฎี หรือกฏเกณฑ์ใดตายตัว ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวล้วนๆเลยหละครับ อาจสรุปง่ายๆ หากต้องการแสงไฟสำหรับการพักผ่อน ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เลือกมาทางฝั่ง Warm White แต่หากต้องการเน้นแสงสว่าง เน้นใช้ทำงาน มองเห็นอย่างชัดเจน เลือกมาทาง Day Light และหากลังเลใจ ก็จัด Cool White ไปเลยครับ

การเลือกซื้อดอกสว่านให้ถูกประเภท

การเลือกซื้อดอกสว่านให้ถูกประเภท ให้เหมาะสมกับการใช้งาน จะทำให้ประหยัดเวลาในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพของงานนั้นๆให้ดียิ่งขึ้นด้วย จะเห็นได้ว่ามีความจำเป็นอย่างมากเลยนะคะ
     ดอกสว่านเจาะ (Drill bit) จะมีอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นลำตัว และส่วนปลายที่เป็นเกลียว ซึ่งจะมีอยู่หลายประเภท แต่หากแบ่งตามประเภทของการใช้งาน เราสามารถแบ่ง ดอกสว่านออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้คือ
1. ดอกสว่านสำหรับเจาะไม้ หากสังเกตบริเวณส่วนปลายแหลมจะมีหัวเกสรแหลมๆขึ้นมา ซึ่งจะช่วยในการนำศูนย์ และลดการแกว่งขณะเจาะไม้คะ
2. ดอกสว่านสำหรับเจาะคอนกรีต ลักษณะของดอกสว่านจะเป็นเกลียวบิด ส่วนปลายดอกสว่านจะเป็นเหล็กแข็ง ลักษณะปลายดอกจะบานเพื่อรับแรงกระแทก ขณะเจาะคอนกรีตแข็งคะ
3. ดอกสว่านสำหรับเจาะโลหะ ลักษณะดอกสว่านจะเป็นเกลียวตัดตลอดดอก ปลายดอกสว่านจะแหลม ซึ่งมีไว้สำหรับจิกชิ้นงานโลหะคะ

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ผัด แกง ทอด ใช้ “น้ำมัน” แบบไหนดีต่อสุขภาพที่สุด?

ใครที่กำลังดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างขะมักเขม้น อาจกำลังตุนน้ำมันมะกอกเอาไว้ที่บ้านเป็นลังๆ แล้วโละเอาน้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม น้ำมันพืชออกจากห้องครัวไป แต่จริงๆแล้ว ขอบอกเลยว่าคุณกำลังทำผิดอย่างมหันต์! เพราะใช่ว่าน้ำมันมะกอกจะใช้ประกอบอาหารได้ดีทุกประเภท และน้ำมันหมูจะไม่ดีต่อสุขภาพเสมอไป
น้ำมันแบบไหน ใช้ประกอบอาหารวิธีใดถึงจะดีต่อสุขภาพ มาดูกันค่ะ
1. การทอด 

จะทอดหมู ไก่ เนื้อ ปลา หรือแม้กระทั่งผักชุบแป้งทอด กรรมวิธีในการทอดจำเป็นต้องใช้น้ำมันในปริมาณมาก ในความร้อยเดือดระอุ และมักใช้เวลานานกว่าอาหารที่เราทอดจะสุกแบบกรอบนอกนุ่มใน ดังนั้นน้ำมันที่เราใช้ควรเป็นน้ำมันที่เหมาะกับการกักเก็บความร้อนได้ยาวนาน ทนต่อความร้อนได้ดี
น้ำมันที่แนะนำ : น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันปาล์มผสมคาโนล่า น้ำมันรำข้าว และน้ำมันมะกอกเอ๊กซ์ตร้าไลท์ (extra light)
2. การผัด 

การผัด คือการทำอาหารลงไปในกระทะ แล้วทำให้สุกด้วยเวลาอันรวดเร็ว ทั้งข้าวผัด ผัดกระเพราะ ผัดผักต่างๆ ดังนั้นอาหารที่ใช้ในการผัดมักเป็นอาหารที่สุกไว ชิ้นเล็ก ใช้ความร้อน ปริมาณน้ำมัน และเวลาในการทำไม่นานมาก น้ำมันที่ใช้จึงสามารถเลือกเป็นน้ำมันที่ไม่จำเป็นต้องทนต่อความร้อนสูงมากเท่าตอนทอด
น้ำมันที่แนะนำ : น้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนล่า น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก
3. สลัดและน้ำจิ้ม 

หากคุณเป็นสายสุขภาพตัวจริง อาจเลี่ยงการทานอาหารระเภท ผัด ทอด เพราะอยากหลีกเลี่ยงไขมันที่ไม่ดีให้มากที่สุด แล้วหันมาทานสลัด หรืออาหารต้มๆ ลวกๆ เคียงข้างด้วยน้ำจิ้ม ซึ่งอาหารประเภทนี้อาจมีส่วนผสมของน้ำมันอยู่ด้วย เพื่อคุณค่าทางสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ เป็นตัวทำละลายส่วนผสม และเพิ่มรสชาติที่ดีให้กับอาหาร
น้ำมันที่แนะนำ : น้ำมันมะกอกเอ๊กซ์ตร้าเวอร์จิ้น (extra virgin) และน้ำมันงา
ทั้งนี้ ในการเลือกใช้น้ำมันในการประกอบอาหาร ถึงแม้ว่าเราจะย้ำว่าไขมันยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย แต่ก็อย่าทานมากจนเกินไปค่ะ ปริมาณที่แนะนำคือ ไม่เกิน 65 กรัม หรือ 13-16 ช้อนชาต่อวันนั่นเอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอาหารประเภททอดที่ใช้น้ำมันท่วมกระทะ นานๆ ทานได้ แต่อย่าทานบ่อยนะคะ


ที่มา : Sanook
Photo : Google

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์และโทษของเงาะ

เงาะ เป็นผลไม้รสหวานและอมเปรี้ยว และถือว่าเป็นผลไม้ดับร้อนก็ว่าได้ เพราะเนื้อข้างใน เมื่อทานแล้วจะสร้างความเย็นฉ่ำให้กับร่างกายได้ สำหรับเงาะที่นิยมทานกันมีสองพันธุ์ คือ เงาะโรงเรียนผลรูปไข่ เปลือกสีแดงสดมีขนยาวสีเขียว เนื้อแห้ง แน่นหนา และอีกพันธุ์หนึ่งคือเงาะสีชมพู ผลค่อนข้างกลม เปลือกสีแดงอมชมพู ขนปลายแหลม เปลือกแกะออกได้ง่าย เมล็ดเล็กรูปรี โดยเงาะทั้ง2 พันธุ์นี้ คุณค่าทางโภชนาการ และคุณประโยชน์ต่อร่างกาย นั้นมากมายเลยทีเดียว
เงาะอุดมด้วยวิตามินC B1 B2 คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และไนอาซีน ช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงาน แกะเมล็ดออกแล้วนำไปแช่ในตู้เย็น จะได้รสชาติที่แตกต่างไปอีกแบบหนึ่ง ส่วนเงาะกระป๋องชนิดที่สอดไส้ด้วยสับปะรดหั่นพอคำนิยมเสริฟพร้อมน้ำแข็ง รสหวาน เย็น ชื่นใจ
ว่ากันว่า ทานเงาะ 6 ลูก ให้พลังงานได้ถึง 50 หน่วยพลังงานแคลอรี่ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดังที่ USDA Nutrient database ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า
  • คาร์โบไฮเดรต 20.87 กรัม
  • เส้นใย 0.21 กรัม
  • ไขมัน 0.65 กรัม
  • โปรตีน 2.5 กรัม
  • วิตามินบี1 0.013 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินบี2 0.022 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินบี3 1.352 มิลลิกรัม 9%
  • วิตามินบี6 0.02 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินบี9 8 ไมโครกรัม 2%
  • วิตามินซี 4.9 มิลลิกรัม 6%
  • ธาตุแคลเซียม 22 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุเหล็ก 0.35 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุแมกนีเซียม 7 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุแมงกานีส 0.343 มิลลิกรัม 16%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 9 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุโพแทสเซียม 42 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุสังกะสี 0.08 มิลลิกรัม 1%
โดยค่า % ที่เห็นอยู่นั้น คือร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่
ประโยชน์ของเงาะ
การรับประทานเงาะสดนั้น นอกจากจะได้คุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังมีประโยชน์ ทั้งยังเป็นยารักษาโรคได้ โดย
  • มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
  • สรรพคุณช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก
  • ช่วยแก้อาการท้องร่วงรุนแรงได้อย่างได้ผล
  • สรรพคุณของเงาะ ช่วยรักษาโรคบิดท้องร่วง
  • ใช้เป็นยาแก้อักเสบ
  • ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • ประโยชน์ของเงาะ สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างได้มากมาย เช่น การทำเงาะกระป๋อง เงาะกวนเปลือก เป็นต้น
  • เงาะมีสารแทนนิน ซึ่งนำมาใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง ย้อมสีผ้า บำบัดน้ำเสีย ทำปุ๋ย และกาว เป็นต้น
  • สารแทนนิน (tannin)ช่วยป้องกันแมลง ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ใช้ทำเป็นยารักษาโรค
ข้อควรระวังในการทานเงาะ
อย่างที่รู้กันว่า อะไรที่มากเกินไป มันไม่ใช่สิ่งที่ดี และมันจะมีโทษ อย่างการทานเงาะก็เช่นกัน เงาะมีสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่การรับประทานในปริมาณมากเกินไปอาจจะทำให้ท้องอืดหรือท้องผูกได้
และอีกสิ่งที่ควรระวังคือเมล็ดเงาะ เพราะเมล็ดเงาะมีพิษ ห้ามรับประทานเพราะอาจจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และมีไข้ได้ ถึงแม้จะนำไปคั่วจนสุกแล้วก็ตามก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดีเพราะฉะนั้นควรรับประทานอย่างพอประมาณ และทานเฉพาะในส่วนที่ทานได้ เพื่อที่ร่างกายจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

5 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จิบก่อนนอน

ใครที่มักจะรู้สึกหิวตงิด ๆ ก่อนเข้านอน แต่ก็ไม่อยากกินอาหารหนัก ๆ เพิ่มแคลอรีให้ร่างกาย อยากแนะนำให้ลองเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 5 แก้วนี้ ที่จะช่วยให้เรานอนหลับสบาย แถมยังมีประโยชน์ช่วยลดน้ำหนักก็ได้อีก !
1. นม
 นมอุ่น ๆ สักแก้วก่อนนอน ให้โปรตีนสูงมาก จึงช่วยให้รู้สึกอิ่มอยู่ท้องแบบสบาย ๆ อีกทั้งในน้ำนมยังอุดมไปด้วยแคลเซียมและทริปโตเฟน ที่จะช่วยให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ตื่นเช้ามาเราก็จะรู้สึกสดชื่น


2. น้ำมะนาวอุ่นๆ
สำหรับคนที่ถ่ายยาก มีปัญหาท้องผูกอยู่เป็นประจำ อยากให้ลองดื่มน้ำมะนาวก่อนนอนดูสักแก้ว โดยผสมน้ำมะนาว 1 ลูก กับน้ำอุ่น 1 แก้ว คนให้เข้ากันแล้วดื่ม วิธีนี้จะช่วยแก้ท้องผูกได้เป็นอย่างดี และสิ่งตกค้างในลำไส้ก็จะลดลง ซึ่งเมื่อระบบขับถ่ายดี ก็จะส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักของเราด้วย


3. ชาคาโมมาย
ชาคาโมมายล์จะช่วยเพิ่มระดับของไกลซีน ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและช่วยให้นอนหลับสนิทยิ่งขึ้น นอกจากนี้ชาคาโมมายล์ยังมีสรรพคุณช่วยคงระดับกลูโคสในร่างกาย ส่งผลให้ในตอนเช้าที่ตื่นมา ร่างกายก็จะไม่รู้สึกหิวโหยเหมือนคนอดนอน ลดความเสี่ยงในการกินอาหารอย่างไม่แคร์ความอ้วนได้เป็นอย่างดี



4. น้ำองุ่นแท้ 100%
แม้ใครจะบอกว่าดื่มน้ำผลไม้แล้วอาจทำให้อ้วน แต่งานวิจัยเมื่อปี 2015 จาก International Journal of Obesity กลับพบว่า สารเรสเวอราทรอลจากเปลือกองุ่นแดง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยเราเบิร์นแคลอรีส่วนเกินได้ในยามหลับใหล 


5. น้ำผึ้ง
จริง ๆ แล้วน้ำผึ้งมีรสหวาน และมีปริมาณน้ำตาลเชิงเดี่ยว (ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เร็ว) อยู่มากแต่หากเราดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอน เครื่องดื่มที่ว่านี้จะให้เอนไซม์สำคัญหลากหลายชนิดกับร่างกาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารได้ ดื่มเข้าไปจึงรู้สึกสบายท้อง 
          นอกจากนี้รสหวานจากน้ำผึ้งจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลินและหลั่งเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุขออกมาได้ จากนั้นเซโรโทนินจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่พาให้รู้สึกง่วงและรู้สึกอยากนอนหลับได้อีกด้วย

ก่อนนอนคืนนี้ อย่าลืมหาเครื่องดื่มที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพดื่มก่อนนอนสักแก้วนะค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
prevention
organicready
bembu
Photo By Google

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พร้อมเพย์ มาแรง อันตรายที่ใกล้ตัว จริงๆหรือ?

ในช่วงที่ผ่านมาหลายๆคนอาจจะได้ยินคำว่า PROMPT PAY หรือ พร้อมเพย์ กันตามสื่อต่างๆพอสมควร หรือที่เห็นชัดที่สุดที่โฆษณาจากตู้นั้น ATM นั้นเอง สำหรับผู้รู้และผู้ไม่รู้ต้องของอธิบายคราวๆก่อนว่า พร้อมเพย์นั้นคืออะไร
พร้อมเพย์ เป็นบริการทางธุรกรรมรูปแบบใหม่ที่สามารถ บริการโอนเงินและรับเงินโอน โดยผูกบัญชีเงินฝากธนาคารกับ หมายเลขบัตรประชาชน หรือ เบอร์โทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะทำให้สะดวกต่อการโอนเงินมากขึ้น  แค่จำหมายเลขบัตรประชาชนปลายทางที่จะโอน หรือจำหมายเลขโทรศัพท์มือถือ  ก็สามารถทำธุรกรรมการโอนได้แล้ว เป็นการลดการใช้เงินสดและหันมาใช้จ่ายผ่านทาง e-payment มากขึ้นนั้นเอง
ว่ากันว่า พร้อมเพย์นั้นอันตราย ในเมื่อเอาเลขประชาชนไปผูกไว้กับบัญชีธนาคาร เอาเบอร์โทรศัพท์ไปใช้ในการโอนเงิน เสี่ยงต่อการถูกแฮคข้อมูลต่างๆรวมทั้งเงินจากในบัญชีด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างไร เพราะว่า
  1. เลขประจำตัวประชาชนซ้ำนั้นไม่มีอย่างแน่นอน เพราะเป็นเลข primary index ที่จะซ้ำกันไม่ได้
แต่ในกรณีที่พบว่ามีซ้ำกับเลขประจำตัวประชาชน คือ เลขทะเบียนนิติบุคคล ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งซ้ำกันจำนวน 138 รายการ ในจำนวนนั้นมีนิติบุคคลที่เลิกกิจการไปแล้ว 110 รายการ เป็นนิติบุคคลที่ยังดำเนินกิจการ 28 รายการ ซึ่งสองหน่วยงานได้ประสานกันและแก้ไขเรียบร้อยแล้ว และจะได้มีการจองกันเลขไว้บางส่วนเพื่อใช้กับนิติบุคคลในอนาคต ไม่ให้เกิดการซ้ำกันอีก และยังเป็นการเตรียมพร้อมให้ระบบ National E-Payment สามารถโอนได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลโดยไม่ซ้ำซ้อนกันนั้นเอง
ทั้งนี้เลขที่ซ้ำกัน เป็นเลขประจำตัวประชาชนที่ขึ้นต้นด้วย 0 ซึ่งไม่ได้ใช้ออกให้กับคนไทย
2.เลขประจำตัวประชาชน กับ เบอร์มือถือ จะทำให้เงินหายไปจากบัญชีพร้อมเพย์ได้นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะเลขทั้งสองชุดใช้แทนเลขบัญชีธนาคาร ไม่ใช่ใช้เป็นรหัสผ่านอนุมัติเบิกถอนเงิน และในส่วนของผู้ใช้อาจจะต้องปรับพฤติกรรมในการระมัดระวังการใช้งานออนไลน์อย่างปลอดภัยมากขึ้นและควรตรวจสอบยืนยันผู้รับก่อนการโอนเงิน และสนใจเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลก่อนทุกครั้ง
3.เงื่อนไขธนาคาร ในแต่ละธนาคารในการประกาศเงื่อนไข ดังนั้นผู้ใช้สามารถเลือกธนาคารที่มีเงื่อนไขตรงกับความต้องการได้
4.พร้อมเพย์ผูกทุกบัญชี อายัดได้หมดนั้นไม่เป็นความจริง เพราะพร้อมเพย์ผูกเฉพาะบัญชีที่สมัคร ส่วนการรู้รายได้หรือการอายัดเงินนั้น เป็นสิ่งที่ทางการดำเนินการได้อยู่แล้วหากพบหลักฐานการกระทำผิด
พร้อมเพย์อาจจะเป็นเรื่องใหม่มีทั้งกระแสดีและกระแสลบ ดังนั้นการเลือกใช้บริการ ผู้ใช้ควรศึกษาหาข้อมูลให้รอบด้านเพื่อก้าวทันยุคเทคโนโลยีใหม่แบบนี้ และจะเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจแบบ e-commerce ที่ลูกค้าสามรถใช้จ่ายได้ด้วยปลายนิ้วสัมผัส
By : ภาวิณี กรเกษม

มะขามป้อม วิตามินซีสูง!

มะขามป้อม มีวิตามินซีสูงที่สุดของพืชทุกชนิดในโลก แม้ว่าจะเก็บนาน 1 ปี พบว่ามีการสูญเสียวิตามินซีไปเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น เป็นสมุนไพรยาอายุวัฒนะ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกัน กำจัดพิษโลหะหนัก รักษาโรคลักปิดลักเปิด ผลมีสรรพคุณแก้หวัด แก้ไอละลายเสมหะ แก้กระหายน้ำ ทานผลสดยังช่วยบำรุงเสียงได้อีกด้วย

สรรพคุณทางยา
- ราก น้ำต้มรากของต้นมะขามป้อม กินเป็นยาลดไข้ เป็นยาเย็น ฟอกเลือด และทำให้อาเจียน ถ้ากลั่นรากจะได้สารที่มีคุณสมบัติเป็นยาฝาดสมานที่ดีกว่าสีเสียด
- ต้น เปลือก เป็นยาฝาดสมาน
- ใบ น้ำต้มใบใช้อาบลดไข้
- ดอก มีกลิ่นหอมคล้ายผิวมะนาว ใช้เข้าเครื่องยา เป็นยาเย็นและยาระบาย
- ยางจากผล รสเปรี้ยวฝาดขม หยอดตาแก้อักเสบ กินช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ
- เมล็ด ชงน้ำร้อนกินแก้ไข้ โรคเกี่ยวกับน้ำดี คลื่นไส้ อาเจียน หืด หลอดลมอักเสบ และใช้ล้างตา แก้โรคตาต่างๆ เมล็ดเผาเป็นเถ้าผสมน้ำมันพืช ใช้ทาแก้หิดและแผลตุ่มคันต่างๆ น้ำมันบีบจากเมล็ดใช้ทาศีรษะ ทำให้ผมดกดำขึ้น ทาครั้งแรกๆ ผมเก่าจะหลุดร่วงไป แล้วผมใหม่จะงอกขึ้นมาดกขึ้น

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

10 ประโยชน์ดีๆ ของ “ผักชี”

ที่ญี่ปุ่น “ผักชี” กลายเป็นผักที่หลายนิยมชมชอบกันมาก ทานกันเป็นกำๆ (ทั้งๆที่ผักชีที่บ้านเขาราคาก็ไม่ได้ถูกเท่าบ้านเรา) ขนาดมีนักร้องบอยแบนด์ของญี่ปุ่นร้องเพลง “ผักชีเฮเว่น” (เฮเว่น = สวรรค์) โดยสื่อถึงความคลั่งผักชีของคนญี่ปุ่นนั่นเอง


ถ้าจะพูดถึงรสชาติ คงจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆ บางคนอาจจะชอบ บางคนอาจจะไม่ชอบ หากพูดถึงประโยชน์ของ“ผักชี” กันแล้ว ขอบอกว่ามีเพียบจนคุณอาจจะต้องหันมาคลั่งผักชีเหมือนกับชาวญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว
สารอาหารในผักชี
  • วิตามินเอ
  • วิตามินบี
  • วิตามินซี
  • ธาตุเหล็ก
  • เบต้าแคโรทีน
  • แคลเซียมและอื่นๆ

 ประโยชน์ดีๆ ของ “ผักชี”
1. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก
2. ป้องกันโรคหวัด
3. แก้อาการกระหายน้ำ
4. ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ในลำไส้
5. ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร
6. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
7. เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยให้ขับถ่ายคล่องมากยิ่งขึ้น
8. แก้อาการวิงเวียนศีรษะ
9. บำรุงสายตา
10. ช่วยกระตุ้นการทำงานของเลือด และกล้ามเนื้อ
 ถึงแม้ผักชีจะมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ค่อนข้างฉุน แต่ไม่ต้องกังวัลไปนะคะ กลิ่นผักชีที่ว่าจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ หากไม่ทานในปริมาณที่มากเกินไป จะไม่ทำให้ตัวเหม็นอย่างที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันแน่นอน แต่ถึงกระนั้น การจะหันมาทานผักชีกันอย่างจริงจังเป็นกำๆ ก็ไม่ควรทานมากเกินไป เพราะไม่ว่าอาหารชนิดใดที่ว่าดี หากทานมากเกินไปก็เป็นโทษได้ทั้งนั้นค่ะ

Photo : Google