วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขึ้นทะเบียนว่างงานผ่านเน็ตได้แล้วจ้า!!


นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานได้พัฒนาการให้บริการแก่คนหางานที่เป็นผู้ประกันตนกรณีว่างงานที่ถูกเลิกจ้างหรือลาออกจากงานในการขึ้นทะเบียนและรายงานตัว โดยให้สามารถขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนและรายงานตัวได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตทาง http://empui.doe.go.th/auth/index เพียงใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนในการเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกรวดเร็ว ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการมาใช้บริการของกรมการจัดหางาน จากเดิมผู้ประกันตนจะต้องมาขึ้นทะเบียนและรายงานตัว ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดหรือสำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ อย่างน้อย 7 ครั้ง (เป็นการขึ้นทะเบียน 1 ครั้ง และรายงานตัว 6 ครั้ง กรณีถูกเลิกจ้างและ 3 ครั้ง กรณีลาออก) ปรับปรุงเป็นการดำเนินการผ่านระบบอินเตอร์เน็ตแทนการดำเนินการ ณ สำนักงานฯ ซึ่งในปีงบประมาณ 2558 ที่ผ่านมามีผู้ประกันตนกรณีว่างงานมาติดต่อที่สำนักงานจัดหางานของกรมการจัดหางาน เพื่อขึ้นทะเบียนผู้ประกันกรณีว่างงานประมาณ 618,082 ราย หากประมาณการค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อราชการครั้งละ 100 บาท ผู้ประกันตนต้องเสียค่าบริการในการติดต่อราชการเป็นจำนวนถึง 432,657,400 บาท (618,082 *7*100)
โดยมีขั้นตอนดังนี้
1.การลงทะเบียนสมาชิก ใช้ข้อมูลจากบัตรประชาชนและกรอกเลขหลังบัตรประชาชน (laser Code) เพื่อตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องจากกรมการปกครองเพื่อให้สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ และจะสามารถลงทะเบียนสมาชิกโดยจะได้รหัสผ่านเพื่อใช้งานระบบฯ
2.การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานครั้งแรก เมื่อลงทะเบียนเข้าสู่ระบบเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ประกันตนนำแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส. 2-01/7) พร้อมเอกสารประกอบการยื่นแบบคำขอได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาหน้าเลขบัญชีสมุดเงินฝากที่ต้องการให้เงินเข้าไปยื่น ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขาและสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ เพี่อขอรับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม
3.การรายงานตัว อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เป็น โดยสามารถรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงานผ่านทางอินเตอร์เน็ต
นายอารักษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกันตนกรณีว่างงานสามารถใช้บริการได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 หรือโทรสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694

Credit : http://www.smartsme.tv/

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ผลไม้ 4 ชนิด บำรุงเลือด

ผลไม้ก็สามารถบำรุงเลือดก็มีให้เลือกรับประทานด้วยเช่นกัน...


1. แก้วมังกร

ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด


2. สตรอว์เบอร์รี

ด้วยคุณสมบัติของสตรอว์เบอร์รีที่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง อีกทั้งเมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รียังช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสียได้เป็นอย่างดี


3. กล้วย

จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่า การบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลดีต่อสุขภาพเลือด เพราะช่วยลดความเสี่ยงโรคลูคีเมีย โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี


4. แตงโม

          จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐฯ เผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวัน จะดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว


ยาบำรุงเลือด


โดยส่วนมากแล้วยาบำรุงเลือดมักจะมาในรูปแบบยาเม็ดเฟอร์รัสซัลเฟต (Ferrous Sulfate Tablets) ลักษณะเม็ดยาจะมีสีดำ ประกอบด้วยธาตุเหล็ก 17 มิลลิกรัม ใช้กินวันละ 1-2 เม็ด วันละ 1-3 ครั้งหลังอาหาร แนะนำให้รับประทานติดต่อกันเป็นเวลา 1-2 เดือน และควรจะกินร่วมกับวิตามินซีเพื่อช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กเป็นไปได้ด้วยดี

ยาบำรุงเลือดเหมาะกับใคร

ยาบำรุงเลือดเหมาะสำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางเนื่องจากขาดเหล็ก ซึ่งกลุ่มคนที่เข้าข่ายมีดังนี้
  • เด็กเล็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุที่เบื่ออาหารหรือกินอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ
  • หญิงตั้งครรภ์
  • หญิงที่มีเลือดประจำเดือนออกมาก
  • ผู้ที่เป็นโรคพยาธิปากขอ
  • ผู้ที่กินมังสวิรัติไม่ถูกหลัก
ผลข้างเคียงของยาบำรุงเลือด
  • อาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร มีอาการปวดมวนท้อง คลื่นไส้ หรือถ่ายเหลวได้
  • อุจจาระเป็นสีดำ เป็นผลจากสีธาตุเหล็กในตัวยา ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากหยุดกินยาบำรุงเลือด อุจจาระจะกลับมาเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์
ข้อควรระวังในการใช้ยาบำรุงเลือด

ยาธาตุเหล็กบำรุงเลือดไม่ควรใช้กับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย เพราะโรคนี้ผู้ป่วยจะมีเหล็กสะสมอยู่ในร่างกายมากเกินอยู่แล้ว ถ้ารับธาตุเหล็กเพิ่มเข้าไปอีกอาจทำให้เป็นโรคตับแข็ง เบาหวาน หัวใจโต และประสาทส่วนปลายอักเสบได้

อย่างไรก็ตามหากอยากบำรุงระบบเลือดให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยนะคะ เพราะอย่าลืมว่า เลือดของเราก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก และการดื่มน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายยังสามารถช่วยชะล้างสารพิษและสิ่งตกค้างภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี คราวนี้เลือดก็จะสะอาด ไหลเวียนกันอย่างสะดวกโยธินไปเลย

Credit : หมอชาวบ้าน

การป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

การป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม แบ่งออกเป็น 8 ข้อ ดังนี้ค่ะ

1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (Be Fit)

2.ระวังเรื่องของท่าทาง บุคลิกของตัวเอง อย่าไหล่ห่อ อย่านั่งค่อม

3.ในเรื่องของการยกของจากพื้นควรระวัง ใช้ท่าทางที่เหมาะสม เพื่อเป็นการป้องกันโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน

4.วางแผนการเคลื่อนไหวบนโต๊ะทำงาน โดยการจัดโต๊ะทำงาน หรือพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม ควรจัดวางของที่ต้องใช้ให้ใกล้ตัว ใกล้มือ จะได้ไม่ต้องเอี้ยวตัวอยู่บ่อยครั้ง และไม่ต้องก้มตัวขึ้นลง หันซ้ายหันขวา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเคล็ดได้

5.เมื่อเกิดอาการปวดเมื่อย อย่าฝืนร่างกาย ให้เดินไปดื่มน้ำ ไปเข้าห้องน้ำ 3-5นาที เป็นการแก้ปัญหาได้แล้ว เป็นการป้องกันปัญหาได้อีกด้วย

6.ระมัดระวังการใส่ส้นสูง ถ้าไม่จำเป็นก็ให้หลีกเลี่ยง แต่ถ้าจำเป็นต้องใส่ ควรใส่ไม่เกิน 2นิ้ว หรือ 4-5เซนติเมตรเท่านั้น

7.การระมัดระวังเรื่องความเครียด เพราะความเครียดทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้เช่นกัน

8.ควรยกของให้ถูกต้อง ถูกท่าทาง ท่ายกที่ดี มุมจุดหมุนและน้ำหนักควรอยู่ใกล้กัน พยายามให้หลังตรงตลอด เพราะมิเช่นนั้นช่วงล่างจะเกิดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนได้


ปวดคอ,ไหล่,หลัง อันเนื่องจากการทำงาน "ออฟฟิศ ซินโดรม"


อาการปวดคอ ไหล่ หลัง อันเนื่องมาจากการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะคนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ และกลุ่มคนไอทีทั้งหลาย ที่ต้องทำงานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตประจำวัน บางท่าทางจะทำให้เกิดการโค้งงอผิดรูปของกระดูกได้ และบางท่าทางทำให้เกิดอาการตึง ยึด จนเกิดอาการปวดในที่สุด แบบนี้เรียกว่า "ออฟฟิศ ซินโดรม" (Office Syndrome)

อาการปวดโดยทั่วไปที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ กระดูกและข้อ เส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ซึ่งทำงานประสานกันอยู่ โดยอาการปวดที่เกิดจากกระดูกและข้อ อาทิ ขยับแล้วมีเสียง กรอบแกรบ ขยับแล้วเจ็บเสียวแปลบๆ คอยื่นไปข้างหน้า หลังค่อม หลังทรุด กระดูกสันหลังคด กระดูกสันหลังแอ่นงอ อาการปวดที่เกิดจากเส้นประสาท อาทิ กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีแรง ชา กล้ามเนื้อกระตุก
อาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ อาทิ ปวดเมื่อย อ่อนล้า เพลีย ตึง ยึด ปวดขึ้นไปที่ขมับ กล้ามเนื้ออักเสบ พังผืดสั่งสมบริเวณกล้ามเนื้อ รวมไปถึงอาการปวดกล้ามเนื้อต้นคอ ร้าวขึ้นไปบริเวณขมับ ปวดไปที่กระบอกตา ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นไมเกรน

แนวทางการรักษา แบ่งออกได้ ดังนี้
  • การรักษาที่สาเหตุของโรค คือ การผ่าตัด และการไม่ผ่าตัด
  • การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ อาทิ การกินยา ฉีดยา ซึ่งคนไทยหลายคนคิดว่าเมื่อไม่มีอาการแล้ว แปลว่า "หาย” ในความเป็นจริงแล้ว การไม่มีอาการนั้น อาจจะไม่ได้หายจากอาการปวดอย่างถาวร

การที่จะทำให้ "หาย” จากอาการปวดอย่างถาวรนั้น คือ การรักษาที่สาเหตุของปัญหา ให้สภาพของกระดูกและข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท คืนสู่สภาวะปกติ และดีกว่าปกติ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลับมาเกิดอาการปวดอีก วิธีการรักษาดังกล่าวเรียกว่า Active Therapy เป็นการรักษาในเชิงป้องกันที่สาเหตุ ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

โฟล์ลิฟท์แต่ละประเภท ข้อดีและข้อเสีย


        หากคุณกำลังต้องซื้อรถโฟล์ลิฟท์ หรือกำลังต้องการศึกษาข้อมูลก่อนซื้อ วันนี้ เรามีข้อดีและข้อเสียของรถโฟล์คลิฟท์แต่ละประเภทมาให้ศึกษากันก่อนตัดสินใจซื้อค่ะ โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
  • รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ระบบไฟฟ้า
ข้อดี
- ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง
- ไม่ต้องคอยเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ หรือน้ำในหม้อน้ำ
- ไม่มีเสียงดังรบกวน และไม่มีมลพิษ - เลี้ยวในวงแคบได้ดีกว่ารถประเภทใช้น้ำมัน
ข้อเสีย
- ต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มทุกครั้งหลังเลิกใช้ จึงต้องมีผู้ดูแล และไม่เหมาะต่อการใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง
- มีข้อจำกัดด้านสภาพอากาศ ซึ่งส่งผลให้รถเสียหายได้
- รถมีราคาแพงกว่าประเภทใช้น้ำมัน
  • รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล
ข้อดี
- ซ่อมบำรุงง่าย อะไหล่หาง่าย 
- ทนต่อความร้อนและความเย็น สามารถทำงานกลางแจ้งได้
ข้อเสีย
- มีก๊าซพิษมาก เพราะมีเขม่ามาก และมีเสียงดังรบกวนตลอดเวลาที่ใช้งาน
- มีต้นทุนเชื้อเพลิงมากพอสมควร
  • รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้เครื่องยนต์แก๊ส L.P.G.
ข้อดี
- รถมีราคาต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น อีกทั้งยังมีค่าเชื้อเพลิงที่น้อยกว่า
- ไอเสียค่อนข้างสะอาดกว่าเครื่องยนต์ดีเซล
ข้อเสีย
- มีความเสี่ยงต่ออันตรายที่แก๊สจะรั่วไหลได้
- สตาร์ทติดยาก และค่อนข้างยุ่งยากต่อการซ่อมบำรุง
- เชื้อเพลิงหายาก ซ้ำถังแก๊สอาจบังวิสัยทัศน์การใช้งานได้

เลือกประเภทของรถโฟล์คลิฟท์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน สามารถช่วยลดต้นทุนได้อีกทางนึงนะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ความเป็นมาของรถโฟล์คลิฟท์

ประวัติและความเป็นมาของ รถโฟล์คลิฟท์
          ช่วงสงครามโลกครั้งที่1 ได้ผลักดันให้มีการพัฒนาการยกแท่นรองฐานปืนโดยช้ระบบไฟฟ้า แต่ด้วยความจำเป็นและสะดวกต่อการใช้งาน ได้มีการพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนของการยกย้ายลูกระเบิดด้วยความนิ่มนวลปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งมีการพัฒนาใช้ทั้งระบบแมคคานิค และรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าขึ้นมาด้วย
           ในรุ่นแรกๆทีเดียว รถโฟล์คลิฟท์จะเป็นแบบง่าย ๆ ไม่มีระบบไฮโรลิค หรือแม้กระทั่งงายกแบบปัจจุบัน แต่จะใช้ระบบรอก ขับเคลือ่นดึงโซ่ยกขึ้นมา ได้ระดับความสูงไม่มาก ,การยึดชิ้นงานก็ใช้วธีการผูกมัดแบบ และไม่มีคนนั่งขับแต่อย่างใด
           ส่วนรถโฟล์คลิฟนั่งขับที่สามารถค้นพบ มีขึ้นในปี คศ1917 ของ  Clark เรียกชื่อเป็น Truck Tracter ซึ่งพัฒนาขึ้นมาใช้เฉพาะ Clark’ axle plant ซึ่งเป็บรูปแบบเฉพาะเท่านั้น ต่อมาใน คศ.1923 บริษัท Yale ก็ผลิต รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า โดยการเพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า "งายกน้ำหนัก" ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ซึ่งระบบการทำการเคลื่อนที่ยก ขึ้น-ลง ใช้ระบบ Ratchet & Pinion (ระบบเฟืองมีสปริงรองหมุน)
          หลังจากนั้นความนิยมการใช้ รถโฟล์คลิฟท์ ยังขึ้นๆลงๆ จนกระทั่งมีการจัดสร้าง พาเลท เพื่อรองรับสิ่งเป็นแบบมาตราฐานขึ้นในปี คศ.1930 จากนั้นเองการพัฒนา รถโฟล์คลิฟท์ จึงมีมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ก้าวกระโดดของโฟล์คลิฟท์ คือ การเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในปี คศ.1939 มีความต้องเครื่องอุปโภค และยุทโธปกรณ์สูงขึ้นมากจาก 500 หน่วยขนย้าย เป็น 23,500 หน่วย ในช่วงปีหลังของสงครามโลกครั้งที่สองจึงต้องการเร่งพัฒนาการยกขนย้ายโดยโฟล์คลิฟท์อย่างมากในช่วงดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะใน รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าสามารถพัฒนาแบตเตอรรี่ให้สามารถทำงานต่อเนื่องกันได้ถึง 8 ชม.โดยไม่การชาร์จแบตใหม่
         ในระยะหลังมีการเน้นเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากพบว่ามีของตกลงบนพนักงานขับรถ จนกระทั่งช่วงปี คศ.1950 เป็นต้นมาจนถึงช่วงก่อนถึงปี คศ. 1960 บริษัทผู้ผลิต รถโฟล์คลิฟท์ได้มีการพัฒนากรงสำหรับนั่งขับเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคนขับ และได้กำหนดเป็นอุปกรณ์มาตราฐานที่จะต้องมีในปี 1980 เป็นต้นมา
           นอกเหนือจากเรื่องดังกล่าว ได้มีพัฒนาเพิ่มขึ้นในส่วนของการใช้พลังงานเพื่อความประหยัด โดยการใช้แก๊ส(LPG)ทดแทนน้ำมัน และผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการลดปัญหาเรื่องควันไอเสียที่รบกวนการทำงานของพนักงานในพื้นที่ทำงาน 
           ปัจจุบันการพัฒนาการใช้เครื่องยนต์โฟล์คลิฟท์ โดยเริ่มการนำเครื่องยนต์ Hydrogen fuel cell มาทดลองใช้งานแล้ว ตั้งแต่ช่วงต้นปี คศ.2000 เป็นต้นมา คาดว่าอาจจะทำตลาดในเร็ววันนี้

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การดูแลแบตเตอรี่ รถโฟล์คลิฟท์ระบบไฟฟ้า


รถโฟล์คลิฟท์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้านั้น ไม่ได้ใช้น้ำมันหรือแก๊สเป็นเชื้อเพลิงเหมือนกับรถโฟล์คลิฟท์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ แต่ใช้แบตเตอรี่ในการส่งกระแสไฟฟ้าแทน
       ดังนั้น รถโฟล์คลิฟท์ระบบไฟฟ้า จึงไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร สิ่งที่ทำ เพียงคอยชาร์จ แบตเตอรี่รถโฟล์คลิฟท์ หลังการใช้งานเท่านั้น การดูแลรถโฟล์คลิฟท์แบบไฟฟ้า จึงมีความสะดวกกว่ามาก เนื่องจากเน้นการดูแลแบตเตอรี่เป็นหลัก ซึ่งหากเป็นแบบเครื่องยนต์ จะต้องดูแลในหลายๆ ส่วนประกอบกัน

       การดูแลแบตเตอรี่สำหรับรถโฟล์คลิฟท์ระบบไฟฟ้านั้น ทำได้ดังนี้

ควรชาร์จเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด ในการชาร์จแบตเตอรี่ ควรชาร์จเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดจริงๆ เพื่อเป็นการถนอมแบตเตอรี่ และยืดอายุการใช้งานออกไป ก็เช่นเดียวกับหลักในการชาร์ตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ และอย่าลืมตรวจสอบว่าเสียบปลั๊กของแบตเตอรี่กับตู้ชาร์จแน่นแล้วหรือไม่

ก่อนชาร์จ ควรตรวจสอบแบตเตอรี่ ก่อนจะทำการชาร์จแบตเตอรี่ ควรตรวจสอบแบตเตอรี่ในส่วนต่างๆ ว่ามีการชำรุดเสียหาย หรือไม่พร้อมในการชาร์จหรือไม่ เช่น ระดับน้ำกลั่น ปลั๊กไฟ ขั้ว เป็นต้น หากอยู่ในสภาพดี ไม่ผิดปกติใด ไม่ชำรุด ก็สามารถชาร์จได้ตามปกติ แต่หากมีความผิดปกติ ต้องซ่อมแซมแก้ไขก่อนทำการชาร์จ รวมถึงการทำความสะอาด หากขั้วแบตเตอรี่ และผิวของแบตเตอรี่ด้านบนสกปรก หรือมีขี้เกลือเกาะ ให้ทำความสะอาดด้วยน้ำร้อน และเช็ดให้แห้ง

มีสถานที่ชาร์จที่เหมาะสม การชาร์จแบตเตอรี่ จะมีการติดตั้งตู้ชาร์จ ซึ่งต้องมีพื้นที่พอสมควร และควรเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี เพราะเมื่อเราทำการชาร์จแบตเตอรี่อยู่นั้น น้ำกลั่นจะระเหยออกมาด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ในการชาร์จแบตเตอรี่รถยกแบบไฟฟ้านั้น ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และวุ่นวายอะไรนัก เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการชาร์จที่ค่อนข้างยาวนาน คือ ประมาณ 8 ชั่วโมง จึงควรมีผู้ควบคุมดูแลด้วย นอกจากนี้ ควรเรียกช่างมาตรวจเช็คเป็นประจำ เช่น ตรวจเช็คค่าถ่วงจำเพาะ แรงดันของเซลล์แบตเตอรี่ เป็นต้น อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

   

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประเภทของรถโฟล์คลิฟท์

หากพูดถึง รถโฟล์คลิฟท์ แล้ว เชื่อว่าหลายๆท่านตามโรงงานที่มีการเคลื่อนย้ายของ ห้างสรรพสินค้า หรืออยู่ในส่วนของโกดังต้องรู้จักเป็นอย่างดีแน่นอน เพราะรถโฟล์คลิฟท์ คือรถที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยในการขนย้ายสินค้า จัดเก็บสินค้า 

โฟล์คลิฟท์ พูดง่ายๆ ก็คือรถยก มาจากการรวมคำในภาษาอังกฤษสองคำมารวมกัน นั่นคือ “Fork” ซึ่งแปลว่าช้อนส้อม และ “Lift” ซึ่งแปลว่าการยก การขึ้นลง รวมกันเป็น คำว่า “Forklift” ในที่สุด

 โฟล์คลิฟท์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามต้นกำลังขับเคลื่อนได้ดังนี้ 

1. ประเภทใช้เครื่องยนต์
    รถโฟล์คลิฟท์ประเภทใช้เครื่องยนต์ จะใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน และแบ่งย่อยตามชนิดของน้ำมันได้อีกดังนี้
- เครื่องยนต์ดีเซล
- เครื่องยนต์แก๊สโซลีน
- เครื่องยนต์แก๊ส L.P.G
นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งได้ตามระบบส่งกำลัง ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
- ระบบส่งกำลังด้วยทอร์ค
- ระบบส่งกำลังด้วยคลัทช์

2. ประเภทใช้แบตเตอรี่ 
    เป็นรถยกไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์เป็นต้นกำลังขับเคลื่อนโดยได้รับกระแสไฟฟ้ามาจาก แบตเตอรี่รถโฟล์คลิฟท์ สามารถแบ่งตามลักษณะโครงสร้างภายนอกได้ 2 แบบ คือ
- แบบนั่งขับ
- แบบยืนขับ

อาจพูดได้ว่า รถยกหรือรถโฟล์คลิฟท์ เป็นสิ่งที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน เพราะทำให้การทำงานดำเนินไปได้อย่างง่ายดาย และปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ได้เป็นอย่างดี การใช้เครื่องทุ่นแรงอย่างรถโฟล์คลิฟท์ จึงมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย และมีการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อคุณภาพของงานและความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้รถโฟล์คลิฟท์ควรคำนึงถึงกำลังและความเหมาะสมกับชนิดของงานด้วยนะค่ะ เพื่อความปลอดภัยในการทำงานและและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับชิ้นงานนั้นๆด้วยค่ะ

มาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยรถยก,รถโฟล์คลิฟท์

มาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยรถยก,รถโฟล์คลิฟท์

ข้อ ๓๑ ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับรถยก นายจ้างต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

      (๑) จัดให้มีโครงหลังคาที่มั่นคงแข็งแรง สามารถป้องกันอันตรายจากวัสดุตกหล่นได้

      (๒) จัดทำป้ายบอกพิกัดน้ำหนักยกให้ตรงกับความสามารถในการยกสิ่งของได้โดยปลอดภัยติดไว้ที่รถยกเพื่อให้ลูกจ้างเห็นได้ชัดเจน

      (๓) ตรวจสอบรถยกให้มีสภาพใช้งานได้อย่างปลอดภัยก่อนการใช้งานทุกครั้งและเก็บผลการตรวจสอบไว้ให้พนักงานตรวจแรงงานตรวจสอบได้

       (๔) จัดให้มีสัญญาณเสียงหรือแสงไฟเตือนภัยในขณะทำงานตามความเหมาะสมของการใช้งาน


ข้อ ๓๒ ห้ามนายจ้างทำการดัดแปลงหรือกระทำการใดที่มีผลทำให้ความปลอดภัยในการทำงานของรถยกลดลง

ข้อ ๓๓ นายจ้างต้องกำหนดเส้นทางและตีเส้นช่องทางเดินรถยกในอาคารหรือบริเวณที่มีการใช้รถยกเป็นประจำ

ข้อ ๓๔ นายจ้างต้องติดตั้งกระจกนูนหรือวัสดุอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายกันไว้ที่บริเวณทางแยกหรือทางโค้งที่มองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า

ข้อ ๓๕ นายจ้างต้องจัดให้พื้นเส้นทางเดินรถยกมีความมั่นคงแข็งแรงและสามารถรองรับน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกของรถยกได้อย่างปลอดภัย

ข้อ ๓๖ นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างที่ผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่อธิบดีประกาศกำหนดทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถยก

ข้อ ๓๗ นายจ้างต้องควบคุมดูแลมิให้ลูกจ้างนำรถยกไปใช้ปฏิบัติงานใกล้สายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าใกล้กว่าระยะห่างที่ปลอดภัยตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานของการไฟฟ้าในท้องถิ่นนั้น กรณีที่ไม่มีมาตรฐานดังกล่าว ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานของสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

ข้อ ๓๘ นายจ้างต้องควบคุมดูแลมิให้บุคคลอื่นโดยสารไปกับรถยก

ข้อ ๓๙ นายจ้างต้องจัดให้มีคู่มือการใช้ การตรวจสอบ และการบำรุงรักษารถยกให้ลูกจ้างได้ศึกษาและปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน


วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

7 ข้อเสียของการนอนหลับมากเกินไป


คนเราจะต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องการนอนหลับมากเกินไป เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่าปัญหาน่าจะเป็นการนอนหลับให้เพียงพอซะมากกว่า แต่ปรากฏว่าเป็นเรื่องจริงที่คนเราสามารถนอนหลับมากเกินไปได้ ขณะที่การกำหนดระยะเวลา “ที่เหมาะสม” นั้นเป็นเรื่องยาก แต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการนอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมงจะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกดีและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนการนอนหลับนานกว่า 9 ชั่วโมงเป็นประจำอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายมีปัญหาบางอย่างซ่อนอยู่และยังเสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพอื่นๆตามมาอีกด้วย

การนอนหลับมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมงจะมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าราวร้อยละ 27 ขณะที่ผู้ที่นอนหลับนาน 9 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นจะมีโอกาสเสี่ยงมากถึงร้อยละ 49

ทำลายสมอง
มีการศึกษาในปี 2012 พบว่าหญิงชราที่นอนหลับมากเกินไปหรือน้อยเกินไปนานติดต่อกันมากกว่า 6 ปีสมองจะเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงาน เช่นเดียวกับหญิงสาวซึ่งนอนหลับมากกว่า 9 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า 5 ชั่วโมงก็จะมีสมองที่แก่เร็วกว่าปกติถึง 2 ปี

ตั้งครรภ์ยากขึ้น

ในปี 2013 ทีมวิจัยของเกาหลีได้วิเคราะห์พฤติกรรมการนอนหลับของผู้หญิงที่มีปัญหาในการตั้งครรภ์มากกว่า 650 คนพบว่าอัตราการตั้งครรภ์จะสูงที่สุดในกลุ่มของผู้หญิงที่นอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมงและต่ำที่สุดในกลุ่มของผู้หญิงที่นอนหลับระหว่าง 9-11 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามยังไม่พบสาเหตุที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน แม้เราจะรู้ว่าพฤติกรรมการนอนหลับสามารถส่งผลต่อระบบนาฬิกาชีวภาพ การหลั่งฮอร์โมน และรอบเดือนได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยากเนื่องจากมีปัจจัยที่ยากเกินการควบคุมมากเกินไป

เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน
นักวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับมากกว่า 8 ชั่วโมงจะมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 มากกว่าผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-8 ชั่วโมงมากถึง 2 เท่า แม้ว่าจะมีการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของมวลร่างกายแล้วก็ตาม

น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
ผู้ที่นอนหลับนานหรือน้อยเกินไปจะมีน้ำหนักตัวมากกว่าผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-8 ชั่วโมง โดยร้อยละ 25 ของผู้ที่นอนหลับระหว่าง 9-10 ชั่วโมงมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 5 กิโลกรัม แม้ว่าจะมีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้วก็ตาม

บั่นทอนสุขภาพหัวใจ
ผู้ที่นอนหลับนาน 8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาสุขภาพหัวใจเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 2 เท่า และโรคหลอดเลือดแดง 1.1 เท่า

เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ในปี 2010 นักวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับทั้งนานและน้อยเกินไปมีโอกาสเสี่ยงในการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยผู้ที่นอนหลับนานกว่า 8 ชั่วโมงจะมีโอกาสเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 1,382,999 คนถึง 1.3 เท่า




Credit : Faithbook

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

กฎระเบียบความปลอดภัยในการใช้รถโฟล์คลิฟท์



1. ห้ามบุคคล ซึ่งไม่มีหน้าที่ หรือไม่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาทำการขับขี่รถโฟร์คลิฟท์โดยเด็ดขาด
2. ในขณะที่มีการขับขี่รถโฟร์คลิฟท์ ห้ามบุคคลอื่นโดยสาร หรือขึ้นไปอยู่บนรถ
3. ก่อนใช้โฟล์คลิฟท์ในแต่ละวัน ผู้ปฏิบัติงานที่มีหน้าที่ขับขี่  ต้องทำการตรวจสอบสภาพรถทุกครั้ง (สภาพภายนอก ,ระบบบังคับการ , ระบบห้ามล้อ)
4. เมื่อยกของที่มีขนาดใหญ่กว่า ช่วงยาวของงา จะต้องทำการผูกมัดของที่ยกให้ยึดติดมั่นคงกับโฟล์คลิฟท์
5. การขับรถโฟล์คลิฟท์ลงตามทางลาด ผู้ขับขี่จะต้องใช้เกียร์ต่ำ
6. การบรรทุกของ  ห้ามบรรทุกของหนักเกินกว่าพิกัดที่กำหนดไว้ และห้ามบรรทุกของสูงเกินไป เพราะจะบังสายตาของผู้ขับขี่
7. ห้ามทำการยก หรือบรรทุกของเกินอัตราที่พื้น หรือกระดานทางลาดจะรับน้ำหนักไว้ได้
8. พนักงานขับรถโฟล์คลิฟท์ต้องสวมหมวกนิรภัย  โฟล์คลิฟท์ต้องมีหลังคาโครงเหล็กปกคลุมเหนือตัวคนขับ ทั้งนี้เพื่อป้องกันของตกใส่จากที่สูง
9. ผู้ขับขี่โฟร์คลิฟท์ต้องสำรวจเส้นทางให้แน่ใจว่า เส้นทางที่จะควบคุมรถให้วิ่งไปนั้น มีความกว้างเพียงพอที่รถ จะวิ่งผ่านไปได้ และไม่มีสิ่งกีดขวาง
10. ก่อนจะเคลื่อนรถโฟร์คลิฟท์ ต้องยกงาให้พ้นจากพื้นไม่น้อยกว่า 10 เซ็นติเมตร และเมื่อรถโฟร์คลิฟท์วิ่งให้ยกงาสูงกว่าระดับพื้นไม่เกิน 30 เซ้นติเมตร พร้อมทั้งยกปลายงาเข้าหาคนขับ เพื่อป้องกันวัตถุที่ยกไหลตกลงมา
11. เมื่อเลิกใช้งาน ต้องปล่อยงาให้ลงต่ำแตะพื้น ในลักษณะวางขนานกับพื้น ดับเครื่อง ห้ามดึงล้อมือ ถ้าจอดไว้ในบริเวณที่เป็นพื้นเอียงต้องใช้ไม้หมอนยันล้อไว้ เพื่อป้องกันรถไหล
12. ต้องให้สัญญาณเสียงและไฟกระพริบ เมื่อรถโฟร์คลิฟท์วิ่งถอยหลัง
13. ควรปรับระยะกว้างของงาให้กว้างที่สุดและพอเหมาะกับพื้นรองยก เพื่อไม่ให้วัสดุเอียงตก และเพื่อกระจายน้ำหนัก
14. การสอดงา ควรให้งาทั้งสองห่างจากศูนย์กลางพื้นรองยกเท่ากัน เพื่อรักษาสมดุลของวัตถุ
15. เมื่อต้องการใช้โฟร์คลิฟท์ ในสถานที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ หรือ ในเวลากลางคืน ต้องจัดให้มีไฟส่องสว่างทางข้างหน้า และรอบบริเวณทำงาน

ยาหยอดตาและน้ำตาเทียม ภัยต่อกระจกตา!

ระวัง! ยาหยอดตาและน้ำตาเทียม เป็นภัยต่อกระจกตามากที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ยาธาตุน้ำขาว กับ ยาธาตุน้ำแดง



“ยาธาตุน้ำขาว กับ ยาธาตุน้ำแดง 
ต่างกันยังไงอะ”
.
เออ นั้นดิ !!
....ง่ายๆ ก็ถ้าชอบสีแดง ก็กินสีแดงงายยยย
...เย้ย ! ม่ายยช่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ที่แตกต่างกัน คือ !
.
“ส่วนผสมต่างกัน และการใช้ต่างกัน” ค่ะ
โดย
- ยาธาตุน้ำแดง มีส่วนผสมคือ โกฐน้ำเต้า ,การบูร, Peppermint, Sodium bicarbonate, Ethanol เหมาะกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือถ้าอยากเรอ ก็สามารถจัดได้ ...เรอได้เรอดีทีเดียว และสามารถช่วยลดกรดได้ด้วยจาก Bicarb ที่มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ ค่ะ
.
- ยาธาตุน้ำขาว ประกอบด้วย Salol , Anise oil เเละ Menthol ช่วยขับลมได้เช่นกัน แต่เหมาะกับคนที่ท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ แล้วมีอาการปวดท้อง หรือมีลมจากสารพิษของเชื้อ และไม่ใช่ยาลดกรดเพราะไม่มีตัวยาที่ลดกรดได้ค่ะ
.
แต่ที่เหมือนกันคือ ทั้งคู่เป็น "ยาสามัญประจำบ้าน" เหมือนกันนะก๊ะ ^^
ดังนั้นสามารถหาซื้อได้ทั่วไป
แต่จะเลือกใช้กันแบบไหน
ก็ลองพิจารณากันดู
หรือถ้าไม่แน่ใจ แนะนำเลือกซื้อที่ "ร้านยา"
แล้วให้เภสัชช่วยอธิบายให้เหมาะกับอาการนะคะ
เพราะถ้ามีโรคกระเพาะด้วย ต้องได้รับยาโรคกระเพาะด้วยนะคะ
(จ่ายได้โดยแพทย์ /เภสัชกรเท่านั้น) 


Credit : หมอยา พาสวย

5 พรรณไม้ให้ร่มเงา บ้านร่มรื่น

การจัดสวนนั้นจะต้องมีไม้ประธานอย่างน้อย 1 ต้น เพื่อให้สวนสวยงามขึ้น โดยไม้ประธานนั้นนิยมเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ บ้างก็มีดอกหอม บ้างก็เป็นไม้มงคล ซึ่งการปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อตกแต่งสวน อาจจะไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่เป็นเรื่องที่จะต้องคิด วางแผน และคัดเลือกต้นไม้ที่จะปลูกให้รอบคอบชัดเจน เพราะหากปลูกแล้วคงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่จะเปลี่ยนต้นใหม่ เสียทั้งทรัพย์ราคาหลายพัน หรือบางชนิดที่เวลาโตแล้วจะคร่อมหลังคาเพราะกิ่งก้านสาขามันจะหักลงมาทำหลังคาเสียหาย หรือไม้ใหญ่อายุมากที่รากไม่แข็งแรง อาจจะล้มโดนตัวบ้านสร้างความเสียหายได้
ไปพบกับ 5 ต้นไม้ใหญ่ที่สามารถปลูกในบ้านได้ โดยบางชนิดอาจจะไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่บางชนิดนั้นก็มีฟอร์มสวนดูดีมีเสน่ห์ และประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป จะมีต้นไม้ใหญ่ชนิดไหนที่ถูกใจผู้อ่านกันบ้าง


ต้นแคนา

ต้นแคนา หรือ ต้นแคป่า จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีความสูงของลำต้นได้ถึง 10-20 เมตร ลำต้นตรง แตกกิ่งต่ำ เปลือกของลำต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมสีเทา ผิวต้นเรียบหรือล่อนเป็นเกล็ดขนาดเล็กๆ ประโยชน์ของต้นแคนานั้นจะให้เรื่องความร่มรื่นสวยงามและคงทน กิ่งไม่แข็งมาก แตกง่ายโตเร็ว ราคาต้นใหญ่ๆต้นหนึ่ง จะอยู่ในหลักพันบาทเลยทีเดียว ใครต้องการต้นไม้ใหญ่เพื่อให้ร่มเงา เชิญพิจารณาเป็นทางเลือกกัน

ต้นพุด

ต้นพุด เป็นไม้มงคล ว่ากันว่าเป็นพรรณไม้นำโชค ความสำเร็จ และช่วยให้อยู่เย็นเป็นสุข พุดเป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการแสงแดดจัด ชอบดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ จึงง่ายต่อการปลูก ที่สำคัญนอกจากจะให้ร่มเงาแล้วยังให้ความสวยงามโดยเฉพาะดอกของต้นพุด ที่จะออกดอกตลอดทั้งปีให้เราได้ชื่นชมกันไม่มีเบื่อเลยทีเดียว

ต้นลีลาวดี

ลีลาวดี จัดเป็นไม้ยืนต้น มีขนาดสูงได้ถึง 12 เมตร ลำต้นแผ่กิ่งก้านสาขาและพุ่มใบสวยงาม พันธุ์ที่มีลักษณะดี ต้องมีทรงพุ่มแน่น มีกิ่งก้านสาขาแตกออกเยอะ ใบดกที่ปลายกิ่ง มีช่อดอกใหญ่ ช่อดอกจะมีดอกบานพร้อมกัน 20-30 ดอก และนอกจากจะเป็นพรรณไม้ประดับที่สวยงาม ใช้ในการจัดสวน ตกแต่งภูมิทัศน์ และเป็นพรรณไม้ที่มีราคาแล้ว ยังมีประโยชน์และคุณค่าในด้านเป็นพืชสมุนไพรอีกด้วย โดยมีสรรพคุณทางยาในทุกส่วนของต้นลีลาวดีตั้งแต่รากยันดอกเลยล่ะครับ

ต้นแจง

ต้นแจง จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ เป็นต้นไม้หายากที่กำลังจะถูกลืมเพราะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จึงควรค่าแก่การอนุรักษ์ เหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อชื่นชมความงามของดอกและผลที่มีลักษณะสวยงามและแปลกตา นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม เหมาะใช้ปลูกเพื่อตกแต่งภูมิทัศน์ ปลูกให้ความร่มรื่นและร่มเงาแก่ตัวบ้านได้เป็นอย่างดี

ต้นเสม็ดแดง

เสม็ดแดง เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร มีกิ่งเป็นสี่เหลี่ยม ใบออกตรงกันข้าม ปลายแหลม โคนมน ยอดอ่อนเป็นสีแดง ดอกจะออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด  มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามมาก ผลเป็นสีขาว ติดผลดกเป็นพวง สามารถพบได้ตามป่าธรรมชาติทุกภาคของประเทศไทย ผลมีรสหวานเย็นและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เคี้ยวแล้วชุ่มคอสดชื่นยิ่งนัก นับว่าเป็นพืชที่หายากชนิดหนึ่งในปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวอย่างพรรณไม้ใหญ่ที่สามารถปลูกในสวน 5 ชนิด อาจจะมีบางพันธุ์ที่หลายๆคนไม่รู้จัก แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดไม่ว่าจะปลูกต้นอะไรก็ตามแต่ ก็ควรที่จะหมั่นคอยดูแลให้เหมาะสม อย่างน้อยพรรณไม้พวกนี้ก็สามารถที่จะให้ความสดชื่นและความสบายใจแก่คนในครอบครัวได้อย่างแน่นอน